Pages

Ads 468x60px

Featured Posts

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556







คำถามโลกแตก LCD TV หรือ Plasma TV ต่างกันอย่างไร อะไรดีกว่ากัน ??

จัดได้ว่าเป็นคำถามยอดฮิตที่สุดในสามโลกสำหรับจะเลือกซื้อทีวีเครื่องใหม่ซักเครื่องครับสำหรับการเปรียบเทียบระหว่าง LCD TV และ Plasma TV ว่าทีวีชนิดไหนดีกว่ากัน ? ก่อนจะให้คำตอบนั้นก็คงต้องไปดูหลักการทำงานและข้อดีข้อเสียของทีวีทั้ง 2 ชนิดนี้ก่อนครับ



LCD TV VS Plasma TV

LCD (Liquid Crystal Display) แสดงภาพโดยเริ่มจากแหล่งกำเนิดแสง "Backlight" (ในที่นี้คือหลอด CCFL และหลอด LED) ส่องแสงไปที่ผลึกแข็งกึ่งเหลว ลักษณะคล้ายๆปีโป้ และเจ้าผลึกแข็งกึ่งเหลว Liquid Crystal จะถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ในส่วนที่เป็น "ประตู" นั้น "บิดหมุน" เพื่อให้แสงจากหลอด Backlight ลอดผ่านไปยัง Color Filter แม่สีทั้ง 3 สี RGB ผสมกันออกมาแสงสีต่างๆ


รูปหลอดไฟ CCFL Backlight ที่เป็นตัวกำเนิดแสงของ LCD TV 

LCD TV นั้น แต่ละพิกเซล "ไม่สามารถกำเนิดแสงได้เอง" จำ เป็นต้องพึ่งพาแหล่งกำเนิดแสงจากหลอด Backlight และมี "ประตู" Liquid Crystal ผลึกแข็งกึ่งเหลวเป็นตัวกำหนดว่าจะให้แสงลอดไปยังแม่สีใดบ้าง เพื่อแสดงสีสันต่างๆออกมาให้เราได้เห็นกันครับ เช่นหากฉากในทีวีตอนนั้นเป็นสนามบอลเขียวชอุ่ม เจ้าตัว Liquid Crystal ที่ทำหน้าที่เป็น "ประตู" หน้าด่าน ก็จะเปิดในส่วนที่ให้แสงลอดออกไปเจอ Color Filter สีเขียวเท่านั้น หรือหากฉากเป็นท้องผ้าสีนำเงิน เจ้าประตู Liquid Crystal ก็จะถูกเปิดในส่วนที่ให้แสงลอดออกไปเจอ Color Filter สีน้ำเงินเท่านั้นครับ


ดูจากรูปจะเข้าใจว่าประตู Liquid Crystal เปิด/ผิด/บิดตัว ให้แสงลอดออกมาผ่าน Color Filter
ออกมาเป็นแสงสีต่างๆ ในตัวอย่างลอดออกมาเป็นสีแดงนะครับ

สรุปขั้นตอนการแสดงภาพของ LCD TV
1. หลอดไฟ Backlight ส่องสว่าง
2. ประตู Liquid Crystal เปิด/ปิด/บิดตัวให้แสงจากหลอดไฟ Backlight ลอดผ่าน
3. แสงลอดผ่าน Color Filter ที่เป็นแม่สี RGB แสดงออกมาเป็นสีต่างๆ

คำถามวัดความเข้าใจ ???
ถ้าทีวีจะแสดง "สีขาว" ประตู Liquid Cyrstal จะต้องเปิดให้แสงจากหลอด Backlight ลอดผ่าน Color Filter สีอะไรบ้าง ???
ตอบ ก็ต้องลอดผ่านทั้ง 3 สี เลย คือ แดง น้ำเงิน เขียว จะผสมรวมกันได้เป็น "สีขาว" ครับ ให้นึกถึงโลโก้ช่อง 7 สีเอาไว้



โลโก้ช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ บอกถึงการผสมสีหลักอย่าง RGB = Red, Green, Blue
ออกมาเป็นแม่สีรองอย่าง CMY = Cyan Magenta Yellow
หาก RGB ผสมรวมกันทั้ง 3 สี จะได้ "สีขาว" นะครับ 


LCD TV ทีวีจะมีหลายขนาดมากๆ ไล่ตั้งแต่ 15 นิ้ว ไปจนถึง 108 นิ้ว (ของSharp เค้านะครับ) โน้นเลยนะครับ

ข้อดีของ LCD TV
1. ให้แสงสี่ที่สว่างสดใสกว่า
2. เหมาะสมกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์แลต่อกับเครื่องเล่นเกมส์มากกว่าด้วยความละเอียดจอภาพที่มากกว่า
3. เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่นหรือ ห้องรับแขกที่ไม่จำเป็นต้องคุมแสงได้ เพราะมันสู้แสงได้ดีกว่า หรือท่านที่จะซื้อเพื่อใช้ไปติดตั้งในร้านค้าหรือ ร้านอาหาร  LCD TV ก็จะเหมาะสมกว่า
4. อาการ Burn-In หรือภาพไหม้ค้างติดหน่าจอแทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย
5. แอลซีดีทีวียังกินไฟน้อยกว่า และหน้าจอร้อนน้อยกว่าด้วย
6. สามารถทำจอ LCD ขนาดเล็กๆอาทิเช่นจอมือถือ ไปจนถึงจอขนาดยักษ์ใหญ่ๆ 100 กว่านิ้วก็ยังได้

ข้อเสียของ LCD TV
1. ยังมี Backlight รั่วอยู่ให้เห็นในฉากมืด ถึงแม้ประตู Liquid Crystal จะปิดเพื่อแสดงสีดำ แต่ก็ยังมีแสงลอดออกมาได้อยู่ดี สีดำจึงไม่ค่อยดำสนิทเท่าที่ควร
2. ความเร็วในการแสดงภาพเคลื่อนไหวจะไม่ได้ลื่นไหลสุดๆ จะยังมีโกสท์ให้เห็นบ้าง
3. ด้วยระดับความสว่างและสีสันที่สดใสที่มากไป (ส่วนใหญ่โหมดภาพสำเร็จรูปตั้งมาแบบนี้) อาจจะทำให้จ้าตาหรือปวดตาได้ง่ายกว่า



PLASMA TV จอภาพแบบ Plasma TV เป็นจอทีวีที่ "สามารถกำเนิดแสงได้เอง" กล่าว คือ เพียงแค่ปล่อยแรงดันไฟเข้าไปกระตุ้นเม็ดพิกเซลก็จะส่องสว่างได้เอง โดยเม็ดพิกเซลของ Plasma TV นั้นจะมี ก๊าซ Neon และ Xenon บรรจุอยู่ข้างในก็จะแตกตัวเป็น UV ซึ่งเมื่อเจ้า UV ไปกระทบกับสาร Phospor ซึ่งเป็นสารเรื่องแสงที่เคลือบไว้ ก็จะก่อนให้แสงสีต่างๆออกมา

สรุปง่ายๆหลักการทำงานของ Plasma TV คือหากต้องการให้เม็ดสีไหนส่องสว่าง ก็แค่ปล่อยแรงดันไฟฟ้าเข้าไปครับ เม็ดพิกเซลก็จะส่องสว่างขึ้นมาเองรวดเร็วทันใจมากมาย เพราะว่า "ก๊าซ" มันไวกว่าพวก "ของแข็งของเหลว" เหมือนที่เราเคยเรียนมาตอนเด็กๆนั่นแหละครับ


เมื่อก๊าซ Neon และ Xenon ถุกแรงดันไฟฟ้าระตุ้นก็จะแตกตัวเป็น UV โดยเมื่อ UV
ไปกระทบ Phospor ทีเป็นสารเรืองแสง จึงทำให้เม็ดมิกเซลส่องสว่างออกมา

 
ข้อดีของ Plasma TV
1. สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวได้ดีกว่า ลื่นไหลกว่า เพราะเม็ดพิกเซลสามารถกำเนิดแสงเองได้ เหมาะกับพวกหนัง Action และกีฬามาก
2. สามารถแสดงสีดำให้ดำสนิทและลึกมีมิติกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่อง Backlight รั่ว
3. มีคอนทราสต์ที่สูงกว่าทำให้เห็นมิติของภาพได้ดีกว่า
4. มุมมองจอภาพที่กว้างกว่า LCD TV มองด้านข้างสีไม่ซีดจาง
5. ให้สีสันที่ถูกต้องเป็นธรรมชาติมากกว่า ไม่ได้สดจนโอเวอร์เกินจริง
6. ระดับความสว่างของภาพและโทนสีเป็นมิตรต่อสายตามากกว่า ดูนานๆโอกาสปวดตาน้อยกว่า

ข้อเสียของ Plasma TV
1. อาการ Burn-In มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าเปิดภาพนิ่งเป็นเวลานานๆ เช่นโลโก้ช่อง 7 หรือโลโก้ True Vision เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์ ศึกษาเรื่อง Burn In เพิ่มเติม >> คลิ๊กเลย <<
2. ไม่เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่คุมแสงไม่ได้เช่นห้องทีี่มีแสงอาทิตย์ลอดเข้ามาโดยไม่มีม่านบังหรือกลางแจ้ง
3. จอกระจก ทำให้เกิดการสะท้อนเป็นเงาได้ ( LCD TV ก็สะท้อนเพราะจอมันวาวทว่าดันสู้แสงได้ดีกว่า)
4. กินไฟมากกว่า และหน้าจอร้อนมากกว่า
แล้วสรุปเลือกตัวไหนดีกว่ากันระหว่าง LCD TV VS Plasma TV ?

LCD หรือ LED TV และ Plasma TV มันไม่มีอย่างไหนดีกว่ากัน เพราะมันดีกันคนละแบบครับ !!!
โดยแต่ละตัวก็มีข้อดี+ข้อด้อยแตกต่างกันออกไป  ดังนี้เราจึงต้องศึกษาอ่านรีวิว+บทความ และไปทดลองรับชมภาพจริงๆทีเพื่อเลือกทีวีที่ "เหมาะสม" กับ "ห้องของเรา" และ "ไลฟ์สไตล์ของเรา" มากที่สุดครับ 
 


จะซื้อทีวี ต้องเข้าใจคำว่า "Matching"
 

การเลือกซื้อทีวีคือ "ศาสตร์" ที่เรียกว่าการ "Matching" ครับ หากคนเล่นเครื่องเสียงจะเข้าใจความหมายนี้ดี

เลือกโดยปัจจัยหลักเหล่านี้
1. ยี่ห้อ :: ความชื่นชอบ / ชื่อเสียง / แนวภาพ
2. ขนาดของจอ :: ใกล้ๆ = จอเล็ก / ไกลๆ = จอใหญ่ เป็นต้น
3. ประเภทของจอ :: LED TV / LCD TV / Plasma TV

ให้เหมาะสมกับ
1. ห้องที่เราจะเอาไปตั้ง :: ห้องนอน / คอนโด / ห้องนั่งเล่น / ห้องโฮมเธียเตอร์ / คุมแสงได้ดีหรือไม่ ?
2. ไลฟ์สไตล์ของเรา 
3. งบประมาณ


Mathcing = การเลือกทีวีให้เหมาะสมกับตัวคุณและห้องของคุณ
 

และไม่จำเป็นต้องเลือกทีวีตัวที่ดีที่สุดเสมอไป และอย่างที่บอกไลฟ์สไตล์ของคนเราไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการที่จะไป "ตัดสิน" ว่า LCD TV หรือ Plasma TV ตัวไหนดีกว่ากัน ? มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคำถามนี้บนโลกใบนี้ !!! แต่กลับกันหากเรายึดหลัก "Matching" ทีวี ให้เหมาะสมกับเรามากที่สุดทั้งเรื่องของ ห้องที่จะวาง / ไลฟ์สไตล์ / งบประมาณ ทีวีเครื่องนั้นก็จะสามารถสร้างความสุขให้กับคุณได้อย่างเต็มที่โดยคุณไม่ ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังเรื่องอื่นๆอีกเลย 

ตัวอย่างการ Matching LCD TV หรือ Plasma TV ให้เหมาะสมกับผู้ใช้
1. LCD TV มันเหมาะสมกับห้องคุณมากกว่านะ เพราะว่า ตั้งไว้ในห้องรับแขก คุมแสงไม่ค่อยได้ ดูหนังไฮเดฟกับเล่นเกมส์บ่อย ต่อคอมบางครั้งบางคราว LCD TV น่าเหมาะสมกว่า เพราะสว่างสู้แสงได้ดีกว่า

2. ห้องคุมแสงได้ดีระดับนึง ชอบภาพนวลสบายตา ดูหนังไฮเดฟและฟรีทีวีบ่อยมาก ขอไม่แพงนักแต่ได้จอใหญ่ๆสะใจ ==> ก็แนะนำ Plasma TV

3. เพิ่งเปิดโรงแรม ต้องการทีวีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ทนทาน+ทนไม้ทนมือแขกมือบอนที่ชอบเปิดทิ้งไว้นานๆ ไม่ร้อนง่าย เอาราคาถูกๆด้วย ==> ก็ LCD TV 32" ไปเลยครับเพ่

4. ชอบภาพแนวโรงหนัง มิติภาพดี ขอภาพเคลื่อนไหวลื่นๆเป็นธรรมชาติหน่อย แต่ห้องคุมแสงได้ระดับนึงแต่ไม่ถึงกับดีมาก มีม่านบังตาบ้าง ==> ก็แนะนำ Full HD Plasma TV รุ่นท็อปๆที่จอกันสะท้อนได้ดี

5. ชอบภาพสีสดใส แต่ขอจอบางๆหน่อยนะ เพราะอยู่คอนโดต้องแขวนผนัง แบบว่ามีพื้นที่จำกัด และรวมถึงชอบดีไซน์บางเฉียบล้ำๆด้วย ดู Blu-ray และ DVD บ่อยๆ ดูฟรีทีวีจากจานแดงบ้าง (ติดกันทั้งคอนโด) ระยะห่างประมาณ 2 เมตร ==> แนะนำจอ LCD TV ที่ใช้หลอดไฟ Backlight แบบ LED ขนาดจอ 40" ไปเลยครับท่าน

หมายเหตุ :: 5 ข้อข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างจากประสบการณ์ของผมและทีมงานเท่านั้น ส่วนการ "Matching" เลือกซื้อทีวีให้เหมาะสมกันตัวท่านนั้น นอกจากศึกษาในเว็บแล้ว สิ่งที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือควรจะต้องไปดูตัวจริง ภาพจริง ดีไซน์จริงๆ ที่ห้างร้านด้วยครับ  จะช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น

รวมถึงเรื่องไลฟ์สไตล์ด้วยครับ เป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยแรกๆในการตัดสินใจซื้อของหลายคนมากกว่าคุณภาพของภาพ ด้วยซ้ำ อาทิเช่น ดีไซน์ความบาง สีของตัวเครื่อง ความชื่นชอบจงรักภักดีต่อแบรนด์ ซึ่งจะยิ่งเป็นเหตุผลส่งเสริมให้คุณหาทีวีตัวที่ "เหมาะสม" กับคุณได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกระดับ
 


ผมยกอีกหนึ่งตัวอย่างคำถามโลกแตกเลยนะครับ

iPhone หรือ Blackberry อันไหนดีกว่ากัน ?
หากเป็นพวกหัวรั้น ก็จะตอบสิ่งที่ตัวเองใช้อยู่ เช่น iPhone 4 สิ จอใหญ่กว่า กล้องชัดกว่า มี Apps เยอะแยะเป็นหมื่นเป็นแสนให้โหลดให้เล่น หรือ BB สิ Chat กันทั้งกลุ่มได้นะ แล้วก็หากเหตุผลร้อยแปดมาเถียงกันจนหัวชนฝา


คำถามโลกแตก Blackberry VS iPhone
 

แต่หากมาถามผมว่าผมจะเลือกใช้อะไร ? ผมคงตอบได้เต็มปากว่า "Blackberry" มัน "เหมาะสม" กับ ผมมากกว่า iPhone ครับ เพราะ Lifestyle ของผมครับ ชอบมือถือที่มีปุ่มกดจริงๆ มันสัมผัสแล้วได้ความรู้สึกกดลงไป งานผมเน้นเช็ค E-Mail ซึ่งมาเยอะมากๆต่อ 1 วัน ระบบ Push mail มันรวดเร็วมาก ตอบสนองผมได้ทันใจ แล้วพิมพ์ E-Mail ตอบกลับได้ง่ายอีกต่างหาก รวมถึงเข้าเว็บไซต์นิดๆหน่อย เช็ค Facebook ขำขันได้ แถมแบตเตอรี่อยู่ทนพอสมควร ผมเป็นพวกขี้เกียจชาร์จมือถือบ่อยๆ

ดังนี้ Blackberry มันเลยตอบโจทย์ผมได้มากกว่า จึงเป็นมือถือที่ "เหมาะสม" กับผมมากกว่า แต่ผมไม่ได้บอก เลยว่ามันดีกว่า iPhone กลับกันผมคิดว่า iPhone โดยรวมแล้ว "ล้ำหน้ากว่า Blackberry" ไปหลายก้าวด้วยซ้ำ (รู้ๆกันอยู่) ลูกเล่นเยอะกว่า Blackberry ของผมมากมาย มี Apps แปลกๆให้โหลดกระจาย จอกว้างใหญ่ ดูไฮโซหรูหราอินเทรนด์สุดๆ แต่ผมพินิจพิเคระาห์แล้วว่า ด้วย Lifestyle ของผมเป็นแบบนี้ Blackberry มันจึงเหมาะกับผมมาก ทุกวันนี้ก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผมได้มากมายและมีความสุขที่ได้มีมันอยู่ใน กระเป๋ากางเกงจนมาถึงทุกวันนี้ ดังนี้อย่างที่บอก "จง Matching ให้เหมาะสม" แต่จงอย่าตัดสินว่า "ตัวนั้นดีกว่าตัวนี้" !!!!


 
จริงๆแล้วทีมงาน LCDTVTHAILAND ก็มีประสบการณ์จัดงานบรรยายกึ่งฟันธงโดยนำพวก LED / LCD TV รุ่นท็อปมา "ปะทะ" Plasma TV ตัวท็อปมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ทดสอบทั้งแบบสภาพแวดล้อมที่ทั้งคุมแสงได้ 100% ห้องมืดสินทเหมือนในห้องนอน หรือเปิดม่านเพื่อให้แสงสาดเข้าห้องมาเหมือนเรากำลังรับชมในห้องนั่งเล่น ตอนกลางวันปกติ ซึ่งผลลัพธ์คือ LED / LCD TV และ Plasma TV ตัวท็อปๆก็ "ผลัดกัน" ได้รับการโหวตว่า "ชื่นชอบที่สุด" โดยแฟนๆเว็บ บางปี LED TV ก็ได้รับโหวตว่าเป็นที่ชื่นชอบกว่า บางปีก็เป็น Plasma TV ที่ได้รับการโหวตสูงสุดครับ หากท่านผู้อ่านสนใจงานลักษณะนี้ก็ติดตามข่าวในเว็บเราให้ดี จะได้เห็นกันแบบตัวเป็นๆในงานบรรยายครั้งถัดไป

ศึกษารายละเอียดงานบรรยายได้ที่นี่ :
http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?board=36.0
 




 
สุดท้ายนี้นายโรมันหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับท่านให้เลือกทีวีให้เหมาะสมกับตัวของท่านและการใช้งานของท่านได้นะครับ

FINAL FANTASY All The Bravest ขนเอากองทัพผู้กล้า ไปรุมสกรัมเหล่าวายร้าย

จากตำนานแห่งเกม RPG สุดคลาสสิคของ Final Fantasy วันนี้ทาง Square Enix ได้นำเกมในตำนานนี้กลับมาทำใหม่อีกครั้ง แต่เปลี่ยนรูปแบบให้เป็นแนว casual เล่นง่ายๆ มันๆ ใน Final Fantasy All The Bravest

สำหรับ Final Fantasy All The Bravest นั้นจริงๆ มีออกมาให้เล่นใน iOS ได้สักพักนึงแล้วครับ แต่พึ่งมาลง Android เมื่อวันที่ 12 กันยาที่ผ่านมา ที่สำคัญคือมันเป็นเกมฟรีในไม่กี่ตัวของ Square Enix และดูจากภาพ screenshot แล้วผมว่ามันดูบ้าบอดี จากเดิมที่เราเคยเล่น Final Fantasy แบบเอาผู้กล้าในตำนานแค่ 4-5 คนไปตะลุยบอส แต่ All The Bravest ให้โอกาสเราขนเอากองทัพผู้กล้า ยกพวกไปตีบอส ^ ^

รูปแบบการเล่นในเกมนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน คือจะมีแผนที่ และก็ศัตรให้เราเดินไปต่อสู้เรื่อยๆ ครับ วิธีการต่อสู้ก็ไม่ยากเย ไม่ต้องใส่คำสั่งอะไรืั้งนั้น จิ้มๆ ถูๆ ที่ตัวละคร มันก็จะกระโดดออกไปใส่ใส่ใส่ ฟันฟันฟัน บุกตะลุยกันเป็นกองทัพ รูดกันเข้าไปเลย 3-4 นิ้วก็ได้ แล้วดูเหล่าผู้กล้ากระโดดออกไปพร้อมกันเป็นสิบๆ คน

แน่นอนว่าในช่วงแรกๆ นั้น จะเริ่มจากไม่กี่คนก่อนครับพอเล่นไปเรื่อยๆ level up ก็จะได้ slot เพิ่ม ทำให้เรามีผู้กล้าในทีมมากขึ้นเรื่อยๆ (สูงสุดที่ 40 คน) แต่ผู้กล้าเหล่านี้จะอ่อนแอนิดหน่อย โดยซัดทีเดียวปลิว และการจะฟื้้นมาแต่ละครั้ง ต้องใช้เวลาประมาณ 3 นาที

พอชนะไปเรื่อยๆ ก็จะปลดตัวล็อคละครและอาชีพใหม่ๆ มาให้เราได้เล่นกัน โดยในเกมจะมีทั้งหมดกว่า 35 อาชีพ นอกจากนั้นยังมีห้องคริสตัล ให้เราไปซื้อพระเอกในภาคเก่าๆ อย่าง คลาวด์ ทีฟา เซซิล และตัวเอกอื่นๆ อีกรวมราวๆ 30 กว่าตัวได้ในราคาตัวละ 31 บาท ซึ่งถ้าจะซื้อให้ครบนี้ หมดเป็นพันอะดิ T T

หลังจากที่ผมได้ดาวน์โหลดมาลองเล่นแล้ว ก็พบว่ามันก็เพลินๆ ดีครับ อันนี้บอกเลยว่าเป็นสาวกของ Final Fantasy ในยุคที่ภาพมันน่ารักๆ แบบ 8-bit, 16-bit มาก่อน ตั้งแต่ภาค 3 จนถึงภาค 7 พอมาเห็นภาพแบบนี้เลยชอบ แต่ด้วยรูปแบบการเล่นที่กลายเป็น casual เกมก็ต้องบอกว่าไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่ แต่เล่นไปสักพักก็เพลินๆ ดี โดยเฉพาะคนที่เคยเล่นซีรี่ยส์เก่าๆ มาก่อนน่าจะเล่นไปแอบยิ้มไป เพราะมันจะมีพวกบอส และตัวละครเด่นในภาพต่างๆ โผล่มาพร้อมกับเพลงประกอบแบบออริจินัลได้รำลึกถึงความหลังครับ
ส่วนที่ไม่ชอบก็ตรง in-app purchase ที่ราคาแพงมหาโหดไปหน่อย กับรูปแบบการเล่นที่มันม่มีอะไรให้ปรับอะไรมากนักและการเล่นก็ซ้ำซากไปหน่อย ครับ
Google Play link : Final Fantasy All The Bravest
source

[Review] รีวิว Galaxy ​Win ควอดคอร์ต่ำหมื่นจาก Samsung

ถึงคราวรีวิวแบบเต็มๆซะที หลังจากที่เอามาพรีวิวไปให้ดู เปิดเสปคและราคาของ Galaxy Win ไปใน Blog ก่อน ได้ลองจับลองใช้มาสักพักก็มีข้อดีข้อเสียมากมายที่อยากจะเอามาแชร์กันครับ เช่นเดิมนะครับ ผมจะมีการแบ่งหัวข้อการใช้การออกเป็นหัวข้อตามนี้
  1. ประสิทธิภาพการใช้งานทั่วไป
  2. ขนาดหน้าจอ สีสัน และความคมชัด
  3. การใช้งานโทรศัพท์
  4. กล้อง และการถ่ายภาพ
  5. การเล่นเกม อ่านเว็บ โซเชียล แชท ฯลฯ
  6. ความอึดของแบตเตอรี่
  7. ภาพรวม 

1. ประสิทธิภาพการใช้งานทั่วไป
CPU/GPU/RAM/Android:
Snapdragon 200 Quad-core 1.2GHz Cortex-A5 / Adreno 203 / 1GB / Android 4.1.2
เชื่อว่าน่าจะมีความคาดหวังกับ Galaxy Win กันมากมายว่ามันจะต้องลื่นหัวแตก ทำงานร่วมกับแอพอื่นและเกมได้อย่างไม่มีสะดุด เพราะมันเป็นโทรศัพท์ Quad-core มีแกนประมวลผลถึง 4 แกน ซึ่งเมื่อได้ลองใช้จริงมันก็ลื่นดีถ้าเกิดว่าไม่ได้มีการทำงานพร้อมกันจากแอ พหลายๆตัว เช่น เปิดอ่านเว็บ แล้วปล่อยโหลดทิ้งเอาไว้จะไปเข้าแอพอื่น จะพบว่ามันกระตุกๆ เลื่อนจออะไรพวกนี้ลำบาก ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นผลจากการที่ใช้ CPU ที่เป็น Cortex-A5 เท่านั้น แต่ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ได้บังคับอะไรรวดเร็วอยู่่แล้วก็จะไม่พบปัญหานี้ครับ

2. ขนาดหน้าจอ สีสัน และความคมชัด
Size/Type/Resolution/Multitouch
4.7” / TFT LCD / WVGA(800x480) / 5 points 
ข้อนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของ Galaxy Win ก็ว่าได้ เพราะว่าถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับรุ่นน้องๆของมันแล้วถือว่าดีกว่าทั้งเรื่อง ของขนาด และการสัมผัส เพราะเท่าที่ลองใช้มา Galaxy Win ไม่มีปัญหาเรื่องจอสะดุ้ง แตะไขว้กันแล้วขาดเหมือนที่เจอใน Galaxy Core และ Galaxy Ace 3 ส่วนเรื่องความละเอียดบางคนอาจจะคิดว่าน้อยไปรึเปล่ากับ WVGA แต่ลองดูที่หน้าจอจริงก็ดูไม่ได้น่าเกลียดอะไร อ่านเว็บ อ่านข้อความก็โอเคอยู่ครับ แต่ที่รู้สึกแปลกๆนิดนึงคือเหมือนว่าหน้าจอจะมี Contrast ที่จัดเกินควรไปนิดนึง ทำให้สีมันดูแปร่งๆ ไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก (แต่ไม่เยอะนะ)

3. การใช้งานโทรศัพท์
SIM/Support Network/Bluetooth
Dual microSIM / 900/2100MHz / v3.0 
ยังมีการแยกเครือข่ายเหมือนเดิม ต้องตรวจสอบดีๆว่าเครื่องรองรับ 850MHz ของฝั่ง Dtac และ Truemove H หรือเปล่า ส่วนเรื่องการคุยโทรศัพท์ก็เหมือนกับโทรศัพท์ Galaxy ทั่วไป และไม่มีไมค์ตัดเสียงรบกวน คุยที่มีเสียงดังแล้วฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนเดิม

4. กล้องและการถ่ายภาพ
5MP + Autofocus + Flash, 480p
Galaxy Win นี่เรียกว่าถอดมาจาก Galaxy Core เลยก็ว่าได้ ลูกเล่นฟีเจอร์ การถ่ายวิดีโอที่รองรับก็เหมือนๆกัน คุณภาพของภาพก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมาก ลองไปดูตัวอย่างกันได้ครับ
galaxy win dawn
galaxy win macro
galaxy win panorama
galaxy win portrait cloudy 
มีอีกเล็กน้อยที่ https://plus.google.com/111551142570017882733/posts/dMMLoVAQMDa
แต่ก็เช่นเดิมครับ Galaxy Win ถ้าเอาไปเทียบกับรุ่นน้องอย่าง Ace 3 ที่ซอฟท์แวร์ใหม่กว่าก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ ไม่รู้ว่าจะมีอัพเดทหรือไม่ และเมื่อไหร่ ^^” 

5. การเล่นเกม อ่านเว็บ โซเชียล แชท นำทาง ฯลฯ
Internal Memory/GPS
8GB + microSD up to 64GB / GPS 
การเล่นเกมของ Galaxy Win ทำออกมาได้เหนือกว่า Galaxy Core และ Galaxy Ace 3 เนื่องจากว่า Galaxy Win มันแก้ปัญหาที่เคยทีในรุ่นน้องมันหมดไปแล้ว ทั้งเรื่องความกระตุกใน Core และหน้าจอเพี้ยนๆบน Ace 3
แต่เรื่องเมม ปัญหาเดิมที่เคยมีใน Core ก็ยังตามมาอยู่คือไม่สามารถย้ายแอพไป SD Card ได้ ทำให้เมมเครื่องอาจจะหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังดีว่ามีเมมภายในให้มาเยอะหน่อยที่ 8GB ถ้าไม่ลงแอพเกมอย่างบ้าเลือดจริงๆ ก็คงยังไม่หมดง่ายๆ ส่วนพวกรูป เพลง วิดีโอ ก็แค่ตั้งให้ไปเก็บที่ SD Card ก็ช่วยได้เยอะแล้วครับ 
อ่านเว็บ ดูหนัง ฟังเพลง ยูทูป Galaxy Win เอามาใช้งานได้สบายดีเพราะจอที่ใหญ่กว่าชาวบ้านเค้า เรื่องเสียงก็ดังปกติ ไม่ได้รู้สึกว่าเบาอะไร แต่ก็ไม่ได้เด่นอะไร ยังไม่เจออะไรแปลกๆนะ
Social Media และ Chat ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ทำให้เราเล่นพวก Facebook, Twitter, และ Instagram ได้สะดวกดี จะพิมพ์ข้อความอะไรต่างๆก็ error น้อยครับ
การนำทาง ตอนแรกนึกว่า Galaxy Win จะกากเหมือนกับ Galaxy Core แต่กลับกลายเป็นว่ามันออกมาแม่นใช้ได้เลยครับ ลองเอาไปนำทางผ่าน Google Maps ก็เนียนๆดีครับ มีหลุดบ้างเล็กน้อยตามประสา ส่วนนึงน่าจะเป็นเพราะ Chipset ที่ใช้ตัวเดียวกับ Lenovo A706 ที่ GPS ก็แม่นยำสุดๆเหมือนกัน เลยทำให้ได้อานิสงค์ไปครับ
UI ของ Galaxy Win ยังคงเป็นตัวเก่าเหมือนกับ Galaxy Core หลายๆอย่างยังเป็นแบบเดิม ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ๆเพิ่มเติมมา ยังไงกลับไปดูรีวิว Galaxy Core และ Galaxy Ace 3 ในส่วนนี้ได้ครับ

6. ความยาวนานของการใช้งานแบตเตอรี่ 2,000mAh 
ใช้งานทั่วไป แชท เฟซ เล่นทั่วไปก็ได้ตาม standard ครับ 7-8 ชม.ก็ไปแล้ว แต่ถ้าสำหรับคนที่ไม่ได้เล่นหนักมากก็น่าจะอยู่ได้ทั้งวันครับ ไม่ได้รู้สึกว่ากินแบตโฮกฮากอะไร

7. ภาพรวม
Galaxy Win ยังคงเป็น Android ที่ถือว่าใช้งานได้โอเคอีกตัวหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรหวือหวา แต่ก็ใช้งานได้โอเค ถ้าใครหวังว่ามันจะแรงปรู๊ดปร๊าดด้วยคำว่า CPU ควอดคอร์ มันก็อาจจะไม่ได้ดังใจนักด้วยข้อจำกัดของสถาปัตยกรรม CPU ที่เลือกใช้ แต่ว่าถ้าวัดกันที่ตัวเลข มันก็แรงกว่าตัวรุ่นน้องมันทุกตัวเหมือนกัน

สรุป
ข้อดี
  • จอใหญ่ 4.7”
  • GPS แม่นดี
ข้อเสีย
  • ไม่ได้ลื่นอย่างที่คาด
  • Software เก่าทั้ง TouchWiz และ Android 4.1.2
ซื้อไปก็ไม่น่าจะผิดหวังอะไรนะกับเจ้า Galaxy Win แต่ถ้ากำลังเปรียบเทียบในสามรุ่น Galaxy Win, Core, Ace 3 ถ้าไม่แคร์เรื่องขนาดหน้าจอ ไม่สนสองซิม และไม่ได้เล่นเกมจริงจังอะไร แนะนำ Galaxy Ace 3 ที่สุดเด้อ แต่ถ้าเอาการใช้งานจริง Galaxy Win ก็น่าจะตอบโจทย์ที่สุดแล้วจ้า (ประเด็นคือเลี่ยง Galaxy Core ไว้ก่อนนะ ^^" )
ถ้าตกหล่นตรงไหน หรืออยากให้เพิ่มเติมอะไร บอกได้ครับ หรือถ้าใครใช้อยู่มาแชร์ประสบการณ์เพิ่มเติมกันได้เลยจ้า

วิธีแฟลชรอมศูนย์ของ Samsung และอัพเดท firmware ด้วยตัวเองผ่าน Odin


 เขียนเอาไว้เป็น reference ให้สำหรับคนที่ชอบเล่นรอมโมและหาทางกลับรอมศูนย์อยู่ รวมถึงคนที่ไม่อยากรอคอยการอัพเดทเฟิร์มแวร์ ขี้เกียจง้อศูนย์ เพราะหลายๆครั้งกดขออัพเดทผ่าน FOTA แล้วไม่ค่อยจะได้รับ เนื่องด้วยการจัด priority ให้เครื่องระดับพรีเมียมได้รับก่อน รุ่นล่างๆต้องรอจนกว่าจะถึงคิวและเซิร์ฟเวอร์ว่างเท่านั้น ซึ่งเครื่องของ Samsung จริงๆทำด้วยตัวเองไม่ยากนัก การพึ่งพาตัวเองในยุคบริการหลังการขายเป็นเลิศก็นับเป็นเรื่องที่ควรรู้เอา ไว้สักหน่อยครับ
เช่นเดิม แม้ว่าการแฟลชรอมนี้จะค่อนข้างง่ายและความเสี่ยงต่ำ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ฉะนั้นทุกคนควรทำตามวิธีอย่างเคร่งครัด ทางเว็บจะไม่รับผิดชอบในทุกกรณีหากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นมาครับ
Quick Guide
โหลดไฟล์ Odin (เครื่องมือสำหรับ flash รอมลงเครื่องของ Samsung)
โหลดรอมที่ต้องการจาก Samfirmware หรือ Samsung Updates (สามารถค้นหาว่าเครื่องตัวเองมีอัพเดทหรือยัง ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศได้จากที่เว็บนี้เช่นกัน)
เข้า download mode เสียบสาย
เลือกไฟล์ที่ต้องการแฟลชในช่อง Bootloader แล้วก็กด Start ได้เลย
Flash ด้วย Odin แบบละเอียด
เตรียมไฟล์สำหรับการแฟลช
1. Odin3-v3.04.zip2. Firmware : ให้ไปโหลดได้จาก Samfirmware.com หรือ Samsung Updates  โดยเลือกรุ่น และประเทศที่ต้องการ แนะนำว่าให้เลือกประเทศให้ถูกเนื่องจากจะมีผลต่อสัญญานโทรศัพท์และการตั้งค่าได้
เอาลิงก์มาให้สำหรับบางรุ่นที่กำลังมีอัพเดทละกัน - Galaxy S4, Galaxy Note 8.0, Galaxy Grand(AIS)
3. Driver (Samsung KIES) SAMSUNG_USB_Driver_for_Mobile_Phones_v1.5.23.0 : ยังไม่ต้องโหลดก็ได้ เอาไว้ถ้าเสียบไม่ขึ้นในขั้นตอนที่ 2 แล้วค่อยมาโหลดอีกที (ขอบคุณ Big_pongo สำหรับลิงก์ของ USB Driver อย่างเดียว ไม่ต้องลง Kies ทั้งตัวให้หน่วงเครื่องครับ Smile)
ขั้นตอน
1. ปิดเครื่อง Galaxy แล้วเข้า Download Mode ด้วยการกด Vol Down + Power ค้างเอาไว้

2. เปิด Odin ขึ้นมา เสียบสายต่อเครื่องเข้าคอม
สังเกตว่าการเชื่อมต่อระหว่างคอมและมือถือเราเรียบร้อยหรือยัง ถ้าเป็นสีฟ้าแสดงว่าโอเค ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แสดงว่า PC และ Galaxy เรายังหากันไม่เจอ
3. กด Bootloader หรือ PDA เพื่อเลือกไฟล์ที่จะแฟลช โดยปกติแล้วไฟล์ที่ได้จากการโหลดจาก samfirmware มาจะต้องแตก zip ก่อนเสมอให้ได้เป็นไฟล์ tar.md5
4. จากนั้นก็กด start และรอได้เลย

5. ถ้าทุกอย่างปกติเครื่องจะทำการ reboot และเปิดเครื่องขึ้นมาทำการอัพเดทแอพต่างๆให้เข้ากับ firmware ล่าสุด


ปัญหาที่อาจพบ
เสียบอุปกรณ์เข้าคอมแล้วแล้วหาเครื่องไม่เจอ
- โดยมากปัญหานี้เกิดจากการที่เครื่อง PC ยังไม่รู้จักกับอุปกรณ์ Galaxy ทำให้เมื่อเสียบสายเข้าไปแล้วโปรแกรม Odin ตรงแถบ ID:COM จะไม่ตอบสนอง สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการลง KIES (ไฟล์ด้านบน) หรือว่าเข้าไป add ใน device manager ก็ได้ครับ

เครื่องมีอาการค้างหรือกินแบตหลังการอัพเดทเฟิร์มแวร์
- ปัญหานี้เกิดขึ้นเนื่องจากขณะทำการอัพเดทเฟิร์มแวร์ เครื่องจะเก็บค่าต่างๆของทุกแอพเอาไว้ และคืนค่ากลับไปเมื่อทำการอัพเดทเสร็จ แต่การอัพเดทใหม่แต่ละครั้งอาจมีปัญหาว่าเครื่องไม่สามารถคืนค่าได้สมบูรณ์ เพราะเฟิร์มแวร์ใหม่-เก่า เก็บค่าของแอพบางตัวไม่เหมือนกัน และแอพใน Play Store ก็มีจำนวนมากจนไม่สามารถไล่ทดสอบได้ว่าจะสามารถคืนค่าได้สมบูรณ์ทุกตัวหรือ เปล่า ดังนั้นเมื่อคืนค่าไม่สมบูรณ์ก็จะทำให้มีการรันข้อมูลบางส่วนผิดพลาด เครื่องต้องทำงานตลอดเวลาจนเป็นสาเหตุของการกินแบตหรือเครื่องค้างนั่นเอง
ฉะนั้นเมื่อมีการอัพเดท การคืนค่าโรงงาน (Factory Reset) สักครั้งก็มีส่วนทำให้เครื่องเราทำงานได้ดีขึ้นครับ

วิธีนี้ใช้ได้กับ Samsung Galaxy รุ่นไหนบ้าง
- สามารถทำได้ทั้ง Galaxy S2, S3, S4, Note I, Note 2, Note 3, Note 8.0, Note 10.1, Galaxy Grand, Galaxy Cooper, Galaxy Mega 5.8, Galaxy Mega 6.3, Galaxy Core, Galaxy Ace 3, Galaxy Ace 2, Galaxy S Advance, Galaxy Y, Galaxy S Duos
*Galaxy Cooper คุณ pureexe แจ้งว่าต้องใช้ Odin 1.8 นะครับ ใช้ตัว Odin 3.04 ที่ให้ไว้ข้างบนนี้ไม่ได้ครับ

การแฟลชด้วย Odin นี้ปล่อยภัยมั้ย?
- วิธีนี้เป็นวิธีที่ทาง Engineer และช่างของ Samsung ใช้ในการอัพเดทซอฟท์แวร์โดยปกติอยู่แล้ว ซอฟท์แวร์ที่ใช้ก็เหมือนจะตั้งใจหลุดจากทางต่างประเทศ เปิดออกมาให้ได้ใช้งานกัน หากเราไปยังศูนย์บริการ ทางช่างของซัมซุงก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการอัพเดทซอฟ์ทแวร์ให้ครับ ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากรออัพเดท OTA หรือเดินไปศูนย์บริการให้เสียเวลาก็สามารถใช้วิธี Odin ทำเองได้เลย ซึ่งนักเล่นรอมทั้งหลายก็มักใช้วิธีนี้ในการกลับรอมศูนย์อยู่แล้ว
เพิ่มเติมจากคุณ Big_pongo เรื่อง USB Debugging Mode ว่าต้องติ๊กก่อน Flash หรือไม่ครับ
USB Debugging mode เป็นการให้สิทธิ์ในการเข้าถึงตัวอุปกรณ์ เช่น เมื่อ
- root อุปกรณ์
- coding app ใหม่ๆ
- (กับ Android SDK) เชื่อมต่อกับคอม แล้วจับหน้าจอมือถือได้เลย
- (กับ Android SDK) ใช้ run terminal commands with ADB
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเชิญตามลิงก์ข้างต้นครับ
**กล่าวคือ รุ่นใหม่ๆเมื่อแฟลชผ่าน Odin ไม่ต้องติ๊กก็ได้ครับ ทางคุณ Big_pongo ลองกับ Tab 7", S4, Note 8 ก็ไม่ต้องติกได้ครับ (ลองแล้ว)


วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิธี Ghost USB และการ boot ผ่าน flash drive

1. Download  File ที่ต้องใช้ http://www.mediafire.com/?867jj29ztgawui8
2. แตกไฟล์ออก จะได้ข้อมูลดังรูป
วิธี Ghost USB หรือการ boot ผ่าน flash drive
3.  เสียบ flash drive > Double click ไฟล์ USB Format (ถ้าเปิดโปรแกรมไม่ได้ ให้คลิ๊กขวา > Run as administrator ส่วนใหญ่เกิดใน Windows 8)
USB Format
4.    เลือกเมนู Quick Format5.    เลือกเมนู Create A DOS Bootable Disk
6.    คลิ๊กที่ปุ่ม Browse และเลือกไปที่อยู่ของ Folder  ?Dos ? ที่เราได้ดาวโหลดมา แล้วกดปุ่ม OK
7.    กดปุ่ม Start  แล้วกดปุ่ม Yes อย่าลืม Backup ข้อมูลใน Flash drive ก่อนนะครับ เพราะเราต้อง Format Flash Drive
8.    เมื่อเสร็จแล้ว ให้คลิ๊กปุ่ม Close เพื่อปิดโปรแกรมไปเลยครับ9.    ไปที่ Folder ที่เราได้แตกไฟล์ออก ดำเนินการ Copy ไฟล์ที่ ชื่อ ghost ไปวางไว้ที่ ใน flash Drive ของเรา
10. เสร็จแล้ว สำหรับกระบวนการFormat  Flash Drive ให้ Boot โปรแกรม Norton ghost

ขั้นตอนการ BACKUP

1.    ตั้งค่าเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ Boot เครื่องไปที่ Flash Drive
2.    ให้พิมพ์คำสั่ง ?ghost? แล้ว enter เพื่อเรียกโปรแกรม Norton  ghost
3.    จะปรากฏดังภาพ ให้คลิ๊กที่ปุ่ม OK
4.    เลือกที่เมนูที่ต้องการ4.1 Disk
4.1.1     ต้องการจาก Clone Hard disk ทั้งลูกไว้อีกลูกหนึ่ง ให้เลือก Local -> Disk -> To Disk
4.1.2     ต้องการ Back up Hard disk ทั้งลูกไว้ในรูปแบบไฟล์ Image ให้เลือก Local -> Disk -> To Image
4.1.3     ต้องการ Restore กลับจากไฟล์ Image ให้เลือก From Image
4.2 Partition
4.2.1     ต้องการ Clone จาก Partition หนึ่งไปอีกยัง Partition ให้เลือก Local -> Partition -> to Partition
4.2.2     ถ้าต้องการ Backup Partition ไปยังรูปแบบไฟล์ Image ให้เลือก Local -> Partition -> to Image
4.2.3     ถ้าต้องการ Restore กลับจากไฟล์ Image ให้เลือก  Local -> Partition -> From Image
*ในที่นี้จะกล่าวถึงการ Backup Partition ไปยังรูปแบบไฟล์ Image และการ Restore Partition กลับจากไฟล์ Image
5.    เลือก Local -> Partition -> to Image เพื่อที่จะ Back up Partition ให้อยู่ในรูปแบบ Image
6. เลือก Hard Disk ที่ต้องการ Backup (ในกรณีที่เครื่องมี HDD หลายลูก เลือกให้ถูกตัวนะครับต้องสังเกตที่ขนาด Hard disk)
7.    เลือก Partition ที่ต้องการ Back up
8.   เลือกที่เก็บไฟล์และตั้งชื่อที่เก็บ Image นั้นจะต้องไม่เป็น Partition เดียวกับที่เรา Back up
9. เลือกรูปแบบการบีบอัด เลือกอันไหนก็ได้ครับแล้วแต่ถนัด
10.   เลือก Yes แล้วรอสักครู่??.ระยะเวลาที่ใช้ในการ Back up ขั้นอยู่กับขนาดไฟล์ที่มีอยู่ใน Partition
11.   เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการโปรแกรมจะแสดงดังรุป

ขั้นตอนการ Restoreเลือก Local -> Partition -> From Image เพื่อ Restore กลับจากไฟล์ Image

2.   โปรแกรมจะให้เราเลือกที่อยู่ของไฟล์ Image
3.   เลือก Partition ต้นทางจากไฟล์ Image
4.   เลือก Hard disk ปลายทาง
5.   เลือก Partition ปลายทาง
6.     กดที่ปุ่ม Yes แล้วรอสักครู่?
7.    เมื่อเสร็จแล้วโปรแกรมจะแสดงผลดังรูป
Credit: อัพโหลดโดย ICT2, รูปโดย ICT2 & zone-it
 

Sample text

Sample Text

Sample Text